เคสนี้ลูกค้ามีความสนใจอยากทำด้วยมากคะ จนนัดจะเซ็นแอพและจ่ายเงินกันวันที่ 5 นี้ เมื่อเช้าลูกค้าไลน์มาแจ้งว่า สามีบอกว่าให้ไปทำกับน้องสามีคะ

ตัวแทน: ประกันชีวิตซื้อกับใครก็ได้ค่ะ ข้อนั้นหนูเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ระดับการให้บริการของตัวแทนนั้นไม่เท่ากันแน่ค่ะพี่

พี่คิดว่าการมีตัวแทนสองคนดูแล กับตัวแทนคนเดียวดูแล แบบไหนเวิร์คกว่ากันคะ?
ถ้ามีตัวแทนคนเดียวดูแล และแถมตัวแทนคนนั้นเป็นญาติฝ่ายสามีเราด้วย
พี่ลองนึกดูนะคะ. สมมติใครในบ้านป่วย แล้วเราต้องการให้ตัวแทนมาดูความเรียบร้อย เรื่องเอกสาร การเคลม ติดต่อกับบริษัทให้เรา 

คำถามคือ 
คนที่เป็นญาติเรา เราจะกล้าจริงๆ ไหมที่จะเรียกใช้เขา 
หรือถ้าเขายุ่งกับงาน แล้วบอกยังไม่สะดวกมาดูแลตอนนี้ เราจะกล้าต่อว่าเขาหรือคะ?
มันคืออาการ “ลูบหน้าปะจมูก” คืออึดอัดแต่พูดไม่ได้

ยิ่งเป็นน้องชายสามี ถ้าเกิดอะไรที่ผิดพลาดขึ้นมา เกิดเรื่องราวกระทบกระทั่งที่อาจไม่ตั้งใจ กลายเป็นผิดใจกันในครอบครัวโดยไม่จำเป็น จะพูดก็ไม่ได้ เหมือนอาการ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้จักอย่างหนู ถ้าหนูบริการห่วย บริการไม่ดี พี่จัดเต็มได้เลยค่ะ ตำหนิได้ หนูต้องทุ่มบริการพี่และครอบครัวสุดตัว เพราะอะไรหรือคะ เพราะหนูรู้ว่าบ้านนี้ มีตัวแทนอีกคนเป็นญาติ

ดังนั้น
หนูขออนุญาตแนะนำ “ทฤษฎีคานอำนาจด้านการบริการ!!” ค่ะ

เพื่อประโยชน์ด้านการบริการ และป้องกันปัญหาความผิดใจกับญาติในอนาคต
เพราะจะเกิดการแข่งขันกันด้านบริการ ประโยชน์ตกอยู่กับพี่ทั้งขึ้นทั้งล่อง

1.น้องชายสามี ไม่สะดวกมาดูแล พี่มีหนูอีกคน
2. เมื่อหนูรู้ว่า ตัวแทนอีกท่านเป็นถึงน้องชายสามี แน่นอนหนูต้องบริการพี่อย่างดีที่สุด เริ่มตั้งแต่จัดแบบประกันที่ดีที่สุดให้พี่ เพราะถ้าไม่ดี แน่นอนน้องชายสามีพี่จะว่าเอาได้

หนูเชื่อว่าเดี๋ยวสามีของพี่ก็ต้องซื้อประกันชีวิตกับน้องชายเขาแน่นอนค่ะ เป็นเรื่องปกติของพี่น้อง แต่ดีลของพี่กับหนูก็คุยกันรู้เรื่องไปหมดแล้ว ให้หนูช่วยดูแลอีกแรง ช่วยกันกับน้องชายสามี สองตัวแทนดีกว่าหนึ่งตัวแทนอยู่แล้วค่ะพี่

ประเด็นสุดท้ายค่ะพี่ ด้วยความเคารพ
ตอนพี่ไปหาหมอ หมอให้คำปรึกษาพี่ จนไปถึงจัดตัวยาที่จะรักษาพี่ พี่จะไปจ่ายค่าบริการให้หมออีกคน ซึ่งเป็นน้องชายของสามีไหมคะ หรือจะให้เครดิตหมอคนแรกที่พยายามรักษาพี่จนสุดความสามารถ

ให้หนูดูแลพี่นะคะ
สะดวกให้หนูเข้าพบเป็นวันเสาร์อาทิตย์ หรือ วันธรรมดาคะ
(นัดหมายตามระบบ)