โดย ชัยยะพัส อินจงกลรัศม์ 19/7/64 19:54 ตัวแทน: ผมเข้าใจเลยครับ ว่าประกันชีวิตมันได้น้อย เป็นผม ผมก็ไม่ลงทุนกับประกันชีวิตครับ ได้น้อยจะตาย
เพราะถ้าคิดว่าอยากให้เงินทำงาน ผมคิดว่าน่าจะลงทุนกับการลงทุนแบบอื่นเช่นพวกตราสารหนี้ หุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ หรือตัวพี่เองอาจจะมีการลงทุนในรูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ใช่ไหมครับ
ผู้มุ่งหวัง: ใช่
ตัวแทน: ที่นี้พอเราเอาประกันชีวิตไปเปรียบเทียบกับการลงทุนแบบอื่น
อุปมาเหมือนพี่เอาแกะมาเปรียบเทียบกับแพะครับ
ประกันชีวิตไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อผลตอบแทนทางด้านการเงิน
แต่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องการลงทุนทุกอย่างของพี่
ยกตัวอย่าง
ตัวแทน: ถ้าสมมติผมเอาเงินมาให้พี่บริหารสักสิบล้านบาท พี่คิดว่าด้วยความรู้ความสามารถของพี่ น่าจะให้ผลตอบแทนเงินก้อนนี้ของผมได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ครับ
ผู้มุ่งหวัง: 10-15% (หรือเขาอาจตอบสูงกว่านั้น)
ตัวแทน: ผมก็เชื่อว่าพี่ต้องทำได้ แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่ เงินสิบล้านนี้เอาไปให้ภรรยาและลูกพี่บริหาร พี่คิดว่าเขาจะทำได้แบบพี่ไหมครับ?
ผู้มุ่งหวัง: พวกเขาไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนหรอก
ตัวแทน: ใช่ครับ เพราะความรู้มันเป็นของพี่ มันส่งผ่านให้ใครไม่ได้ สิ่งนี้เขาเรียกว่า “Earning Ability” (ความสามารถในการหารายได้) ในทางเศรษฐศาสตร์ ถือว่าเป็นทรัพย์สินทางการเงินที่มีค่ามากที่สุด เพราะแต่ละคน Earning Ability ไม่เท่ากัน ลูกและภรรยาของพี่ไม่มีเหมือนพี่ เพราะเจ้า Earning Ability นี่แหละที่ทำให้บ้านเป็นบ้าน ครอบครัวมีความมั่นคงแข็งแรง
ไม่ว่าพี่จะลงทุนอะไร ทำงานอะไร รายได้ที่เกิดจากพี่ล้วนมาจาก “Earning Ability” เพียงแต่ว่า สูตรรายได้มันเป็นแบบนี้ครับ
Earning Ability + Time = Income
ความสามารถในการหารายได้ + เวลา = รายได้
(แนะนำให้คุณเขียนในกระดาษ ไม่พูดอย่างเดียวนะครับ)
เช่นพี่รายได้เดือนละ 100,000
ปีละ 1,200,000
10 ปี 12 ล้าน
20 ปี 24 ล้าน
ถ้าคิดแบบหยาบๆ ไม่คิดอัตราก้าวหน้าของรายได้
สมมติรายได้เท่าเดิม แต่ในความเป็นจริง รายได้มนุษย์จะเพิ่มขึ้นตามความสามารถที่เพิ่มขึ้น ถูกไหมครับ
ประเด็นก็คือ
อุปมาเหมือนพี่เดินแบกถุงเงินยี่สิบกว่าล้าน แต่เป็นเงินในอนาคตนะครับ ติดตัวไปด้วยตลอด ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง มีเหตุให้ต้องจากโลกนี้ไปก่อน เงินก้อนนี้และเงินจากการลงทุนอื่นๆ ก็จะสัมฤทธิ์ผล ทุกคนในครอบครัวแฮปปี้หมดเลย ซึ่งทุกคน ทุกครอบครัวหวังให้เป็นแบบนั้น แต่จากสถิติ ไม่ทุกครอบครัวครับ ที่จะเป็นแบบนั้น
หลายครอบครัวมีผลลัพธ์อีกแบบคือ
การลงทุนที่คาดว่าจะได้กำไร ก็ไม่เป็นไปตามนั้นเพราะ ผู้ดูแลการลงทุนไม่อยู่เสียแล้ว
รายได้ที่คาดว่าจะได้ เหมือนที่ผมอุปมาว่าพี่ถือถุงเงิน 20 กว่าล้านติดตัวไปตลอด มันก็หายไปด้วย
คำถามคือ
มีการลงทุนไหนบ้างที่แก้ปัญหานี้ได้?
มีการลงทุนไหนบ้างที่จะเอาถุงเงิน 20 กว่าล้านที่พี่แบกไว้มาให้ครอบครัวพี่ได้บ้าง?
ผมตอบแทนได้เลยครับ ไม่มีสักการลงทุน
มีแต่ประกันชีวิตครับ
เพราะการลงทุนอื่น เราเดินทางไปหาเป้าหมาย
แต่ประกันชีวิตเอาเป้าหมายมาก่อน และค่อยๆ เดินไป
วันนี้ซื้อประกันชีวิต 10 ล้าน ก็แปลว่า ครอบครัวพี่ได้แน่ๆ แล้ว 10 ล้าน
มันระบุชื่อทายาท ผู้รับมรดกตามกฎหมายชัดเจน
โดยพี่ผ่อนฝากไปปีละ 3% ของวงเงิน ก็คือ 300,000 บาท
เปรียบเหมือนเอา เงิน 3 บาท ไปซื้อแบงค์ 100
หากฝากไปปีเดียว ผู้ฝากต้องวายชนม์
บริษัทจ่าย 10 ล้าน เงินตรงนี้เป็นของครอบครัวพี่แน่นอน
ในขณะที่การลงทุนอื่นๆ ยังค้างเติ่ง ไม่รู้จะสัมฤทธิ์ผลหรือเปล่า
ไหนๆ จะลงทุนแล้ว ก็ลงทุนให้ครบทุกมิติ ปิดทางผิดพลาดทุกทางไปเลยครับพี่
วันนี้เริ่มที่วงเงิน 10 ล้าน หรือ 20 ล้านดีครับ
ดู 834, ตอบ 0